บริษัท เอสเอ็มแอล ออดิท จำกัด เลขทะเบียนนิติบุคคล 0115555017811 -สาขาบางนา,สมุทรปราการ
ที่อยู่ : เลขที่ 59/294 ซ.อ๊อกฟอร์ด 2 ถนนศรีนครินทร์ บ้านกลางเมือง British town หมู่ 16 ตำบล : บางแก้ว
อำเภอ : บางพลี จังหวัด :สมุทรปราการ รหัสไปรษณีย์ : 10540
มือถือ : 080-553-7088 /080-5537077 โทร :023494340 /02-758-8994 แฟกซ์ : 021020819
อีเมล :sale@smlaudit.com, smlaudit@hotmail.com
เว็บไซต์ : www.smlaudit.com
ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีมุลค่าเพิ่ม
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพเป็นปกติธุระ ไม่ว่าจะประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดา คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล หรือนิติบุคคลใด ๆ หากมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน โดยคำนวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ ผู้ประกอบการที่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 1. ผู้ประกอบการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี 2. ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย 3. ผู้ประกอบการที่ให้บริการจากต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร 4. ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรและเข้ามาประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นครั้งคราว ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ที่กำหนดไว้ในประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ( ฉบับที่ 43) ฯ ลงวันที่ 29 มกราคม พ . ศ . 2536 5. ผู้ประกอบการอื่นตามที่อธิบดีจะประกาศกำหนดเมื่อมีเหตุอันสมควร ผู้ประกอบการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย แต่สามารถขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ 1. ผู้ประกอบกิจการ ขายพืชผลทางการเกษตร สัตว์ ไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ปุ๋ย ปลาป่น อาหารสัตว์ ยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน ฯลฯ 2. ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการซึ่งไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายและมีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี 3. การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร โดยอากาศยาน 4. การส่งออกของผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 5. การให้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อในราชอาณาจักร วิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 1. แบบคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แบบคำขอที่ใช้ในการขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ แบบ ภ.พ.01 ซึ่งในเขตกรุงเทพมหานครขอรับได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา(เขต/อำเภอ) หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่ สำหรับในจังหวัดอื่นขอรับได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา(อำเภอ) ทุกแห่ง 2. เอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (1) คำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบ ภ.พ.01 จำนวน 3 ฉบับ (2) สำเนาทะเบียนบ้านหรือหลักฐานแสดงการอยู่อาศัยจริง พร้อมภาพถ่ายสำเนาดังกล่าว (3) บัตรประจำตัวประชาชนและบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร พร้อมภาพถ่ายบัตรดังกล่าว (4) สัญญาเช่าอาคารอันเป็นที่ตั้งสถานประกอบการ (กรณีเช่า) หรือหนังสือยินยอมให้ใช้สถานประกอบการ และหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ เช่น เป็นเจ้าบ้าน, สัญญาซื้อขาย, คำขอหมายเลขบ้าน, ใบโอนกรรมสิทธิ์, สัญญาเช่าช่วง พร้อมสำเนาทะเบียนบ้านอันเป็นที่ตั้งสถานประกอบการและภาพถ่ายเอกสารดังกล่าว (5) หนังสือจัดตั้งห้างหุ้นส่วน พร้อมภาพถ่ายหนังสือดังกล่าว (กรณีเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล) (6) หนังสือรับรองของนายทะเบียนห้างหุ้นส่วน บริษัท พร้อมวัตถุประสงค์ หนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับ และใบทะเบียนพาณิชย์พร้อมภาพถ่ายหนังสือดังกล่าว (กรณีเป็นนิติบุคคล) (7) บัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้จัดการ หรือหุ้นส่วนผู้จัดการ และสำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมภาพถ่ายเอกสารดังกล่าว (8) แผนที่ซึ่งแสดงที่ตั้งของสถานประกอบการโดยสังเขป และภาพถ่ายสถานประกอบการจำนวน 2 ชุด (9) กรณีมอบอำนาจให้ผู้อื่นทำการแทน ต้องมีหนังสือมอบอำนาจปิดอากรแสตมป์ 10 บาท บัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจพร้อมภาพถ่ายบัตรดังกล่าว โดยผู้รับมอบอำนาจต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป
1. ผู้ประกอบการต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อเริ่มประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ เว้นแต่กรณีที่ผู้ประกอบการมีแผนงานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าได้เตรียมการเพื่อประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและมีการดำเนินการเพื่อเตรียมประกอบกิจการอันเป็นเหตุให้ต้องมีการซื้อสินค้าหรือรับบริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การก่อสร้างโรงงาน การสร้างอาคารสำนักงานหรือการติดตั้งเครื่องจักร ให้ผู้ประกอบการมีสิทธิยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ภายในกำหนด 6 เดือนก่อนวันเริ่มประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ 2. ผู้ประกอบการที่มีรายรับเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษี-มูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีมูลค่าของฐานภาษี (รายรับ) เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
สถานที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบ ภ.พ.01 ณ สถานที่ดังต่อไปนี้ 1. กรณีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาในเขตท้องที่ที่ สถานประกอบการตั้งอยู่ 2. กรณีสถานประกอบการตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา(อำเภอ) ในเขตท้องที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ และกรณีสถานประกอบการตั้งในท้องที่อำเภอหรือกิ่งอำเภอตั้งใหม่ที่กรมสรรพากรมิได้จัดอัตรากำลังไว้ ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา(อำเภอ) ที่เคยควบคุมพื้นที่เดิมของอำเภอหรือกิ่งอำเภอตั้งใหม่นั้น กรณีสถานประกอบการหลายแห่ง ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนได้ที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ในท้องที่ที่สถานประกอบการอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว 3. กรณีสถานประกอบการที่อยู่ในความดูแลของสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ให้ยื่น ณ สำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ หรือจะยื่นผ่านสำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาที่สถานประกอบการตั้งอยู่ก็ได้
เมื่อเจ้าพนักงานได้รับคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามแบบ ภ.พ.01 พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว จะมีการออกใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบ ภ.พ.20) ให้ ซึ่งจะมีผลให้ผู้ประกอบการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนตามกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ระบุไว้ในใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นต้นไป กรณีที่ผู้ประกอบการมีสถานประกอบการหลายแห่ง ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ท้องที่ที่สถานประกอบการที่เป็นสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เพียงแห่งเดียว แต่กรมสรรพากรจะออกใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 20) ให้แก่สถานประกอบการทุกแห่ง โดยผู้ประกอบการจดทะเบียนจะต้องนำใบทะเบียนดังกล่าวไปแสดงไว้ ณ สถานประกอบการแต่ละแห่งในสถานที่ที่เห็นได้ง่ายและเปิดเผย กรณีที่ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสูญหาย ถูกทำลายหรือชำรุดในสาระสำคัญ ผู้ประกอบการจดทะเบียนจะต้องยื่นคำขอรับใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ สถานที่ที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ทราบถึงการสูญหาย ถูกทำลายหรือชำรุด ซึ่งใบแทนดังกล่าวถือเป็นใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
หน้าที่ของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 1. เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ และออกใบกำกับภาษีเพื่อเป็นหลักฐานในการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 2. จัดทำรายงานตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งได้แก่ (1) รายงานภาษีซื้อ (2) รายงานภาษีขาย (3) รายงานสินค้าและวัตถุดิบ 3. ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีตามแบบ ภ.พ.30
รู้ไว้ใช่ว่ากับภาษี ต้องขอออกตัวก่อนว่าดิฉันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาษี แต่วันนี้ อยากจะนำเกร็ดเกี่ยวกับภาษีที่ได้ประสบมาแบ่งปันกับท่านผู้อ่าน เพราะตอนนี้ย่างเข้าสู่ฤดูกาลยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลต้องใช้เงินจำนวนมากในการอัดฉีด เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจในปี 2552 ติดลบมากเกินไป วิธีการหนึ่งที่รัฐบาลทำ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียกเก็บเงินภาษี และมีผู้ให้ข้อสังเกตว่า รัฐบาลใช้วิธีคืนเงินภาษีช้าๆ เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในระบบของรัฐ เท็จจริงแค่ไหนไม่ทราบ แต่จนป่านนี้ดิฉันเองก็ยังไม่ได้รับคืนภาษีเงินได้ของปี 2551 ที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายเกินไป ผู้คนที่ดิฉันสนทนาด้วยบอกว่า ไม่ได้ว่าอะไรที่กรมสรรพากรจะใช้เวลาตรวจสอบนาน แต่ที่รู้สึกโกรธแค้น คือ ขอเอกสารทีละหน่อย ละหน่อย ทำให้เสียเวลา เวลาขอแจ้งว่าส่งทางโทรสารก็ได้ แต่พอส่งแล้วก็แจ้งมาขอตัวจริงอีก โดยเฉพาะผู้ที่ยื่นเอกสารผ่านอินเทอร์เน็ต ดิฉันรวบรวมข้อควรรู้มาให้ท่านทราบดังนี้ ภาษีเบี้ยประกันชีวิต ได้รับคำถามบ่อยครั้งเกี่ยวกับกรณีบริษัทจำกัดจ่ายเบี้ยประกันให้กรรมการผู้จัดการตามมติที่ประชุมเพื่อเป็นสวัสดิการและการตอบแทน ว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้สอดคล้องกับแนวคำตอบของกรมสรรพากรตามหนังสือเลขที่กค 0811/408 ลงวันที่ 21 มกราคม 2543 ดังนี้ อายุความ การขอคืนภาษีเงินได้ มาตรา 27 ตรี วรรคแรก ได้บัญญัติไว้เป็นหลักว่า “เว้นแต่จะได้มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น กำหนดระยะเวลาในการขอคืนภาษีอากรและภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายและได้มีการนำส่งไว้เป็นจำนวนเงินที่เกินกว่าที่ต้องควรเสีย หรือที่ไม่มีหน้าที่ต้องเสีย ให้ผู้มีสิทธิขอคืนภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนด” ผู้มีสิทธิขอคืน คือผู้มีเงินได้ หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจให้ทำการเป็นตัวแทนในการยื่นคำร้องขอคืนภาษี วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการเสียภาษี หมายถึงวันครบกำหนดยื่นแบบแสดงรายการ เช่น กรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา วันสุดท้ายของการยื่นแบบแสดงรายการคือวันที่ 31 มีนาคมของปีปฏิทินถัดไป หรือกรณีเป็นภาษีเงินได้นิติบุคคลวันสุดท้ายของการยื่นแบบแสดงรายการคือภายใน 150 วันหลังสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีของนิติบุคคลนั้น มิใช่วันสุดท้ายของการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี (กลางปี) ล่วงหน้า ในกรณีมีกฎหมายกำหนดให้มีการยื่นชำระภาษีและแบบแสดงรายการล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้มีสิทธิขอคืนภาษียื่นแบบแสดงรายการเมื่อพ้นเวลาที่กำหนด หรือได้ยื่นแบบแสดงรายการภายในเวลาที่รัฐมนตรีหรืออธิบดีให้ขยายหรือเลื่อนออกไป ตามมาตรา 3 อัฎฐ มาตรา 27 ตรีวรรคสอง กำหนดว่าการยื่นคำร้องขอคืนก็สามารถยื่นได้ภายใน 3 ปี นับแต่วันที่ได้ยื่นรายการตามที่ได้ขยายไปนั้น หรือในกรณีที่ผู้มีสิทธิขอคืนภาษี ทำการยื่นอุทธรณ์การประเมินหรือเป็นคดีในศาล คำร้องขอคืนก็สามารถยื่นได้ภายใน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์เป็นหนังสือ หรือนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วแต่กรณี อนึ่ง ประมวลรัษฎากรยังได้กำหนดเพิ่มเติมไว้เป็นพิเศษในเรื่องการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ถูกหักไว้เกินใน มาตรา 63 เป็นต่างหากด้วยว่า “บุคคลใดถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษีตามส่วนนี้ บุคคลนั้นมีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืนแต่ต้องยื่นคำร้องต่อเจ้าหน้าที่พนักงานประเมินภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งได้ถูกหักภาษีเกินไป” ดังนั้น ความในมาตรา 63 จึงถือเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 27 ตรี ระยะเวลาในการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล จึงย่นระยะเวลามาเป็น 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีภาษี ซึ่งถูกหักภาษีเกินไป ฎ.9911/2539 ได้วินิจฉัยไว้ดังนี้ การขอคืนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร ที่บริษัทถูกหักและนำส่งเกินไป บริษัทต้องยื่นคำร้องขอคืนภายใน 3 ปีนับแต่วันสิ้นปีที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย (ไม่ใช่นับตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี) จะนำมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร มาบังคับไม่ได้ เมื่อรอบระยะเวลาบัญชีของโจทก์ เริ่ม 1 ม.ค. ถึง 31 ธ.ค. ดังนั้นรอบระยะเวลาบัญชี 2531 ซึ่งได้ยื่นคำร้องขอคืนเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2535 ขาดอายุความขอคืนแล้ว (นอกจากนี้ยังมี ฎ. 9912/2539 ฎ. 9913/2539 ฎ. 1810/2540 ฎ. 4688/2540 ก็วินิจฉัยไว้ในลักษณะเดียวกัน) มีข้อน่าสังเกตว่า แม้มาตรา 63 จะเป็นบทบัญญัติที่กำหนดอยู่ในส่วนที่ว่าด้วยภาษีเงินได้ที่เก็บจากบุคคลธรรมดาแต่มาตรา 3 เตรส ซึ่งเป็นมาตราที่ว่าด้วยการหักภาษี ณ ที่จ่ายทุกประเภท กำหนดให้นำความมาตรา 63 มาบังคับใช้โดยอนุโลมด้วย จึงมีผลให้ความในมาตรา 63 ครอบคลุมไปถึงภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายทุกประเภท ทั้งของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล มาตรา 3 เตรส กำหนดไว้ดังนี้ “ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี ให้อธิบดีมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้จ่ายเงินพึงประเมินตามมาตรา 40 ซึ่งไม่มีหน้าที่หัก ณ ที่จ่ายตามลักษณะ 2 ภาษี ณ ที่จ่ายตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราที่กำหนดโดยกฎกระทรวง ในการนี้ ให้นำมาตรา 52 มาตรา 53 มาตรา 54 มาตรา 55 มาตรา 58 มาตรา 59 มาตรา 60 และมาตรา 63 มาใช้บังคับโดยอนุโลม” นอกจากนี้ ศาลฎีกายังได้มีคำพิพากษาตัดสินไว้ใน ฎ.9913/2540 ไว้ด้วยดังนี้ “มาตรา 3 เตรส นั้นใช้บังคับทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล และนำมาตรา 63 มาบังคับแก่การขอคืนเงินไว้แล้ว ดังนั้น จึงนำมาตรา 27 ตรี มาใช้บังคับไม่ได้” ในส่วนของการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่มิได้ขอเครดิตภาษีตามรายเดือนภาษีนั้นมาตรา 84/1 ได้บัญญัติไว้เป็นเอกเทศดังนี้ ส่วนขอคืนภาษีธุรกิจเฉพาะมาตรา 91/11 ได้บัญญัติไว้เป็นเอกเทศเช่นกันโดยให้ยื่นคำร้องภายใน 3 ปีนับแต่วันพ้นกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพเป็นปกติธุระ ไม่ว่าจะประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดา คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล หรือนิติบุคคลใด ๆ หากมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน โดยคำนวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ ผู้ประกอบการที่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 1. ผู้ประกอบการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี 2. ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย 3. ผู้ประกอบการที่ให้บริการจากต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร 4. ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรและเข้ามาประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นครั้งคราว ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ที่กำหนดไว้ในประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ( ฉบับที่ 43) ฯ ลงวันที่ 29 มกราคม พ . ศ . 2536 5. ผู้ประกอบการอื่นตามที่อธิบดีจะประกาศกำหนดเมื่อมีเหตุอันสมควร ผู้ประกอบการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย แต่สามารถขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ 1. ผู้ประกอบกิจการ ขายพืชผลทางการเกษตร สัตว์ ไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ปุ๋ย ปลาป่น อาหารสัตว์ ยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน ฯลฯ 2. ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการซึ่งไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายและมีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี 3. การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร โดยอากาศยาน 4. การส่งออกของผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 5. การให้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อในราชอาณาจักร วิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 1. แบบคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แบบคำขอที่ใช้ในการขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ แบบ ภ.พ.01 ซึ่งในเขตกรุงเทพมหานครขอรับได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา(เขต/อำเภอ) หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่ สำหรับในจังหวัดอื่นขอรับได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา(อำเภอ) ทุกแห่ง 2. เอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (1) คำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบ ภ.พ.01 จำนวน 3 ฉบับ (2) สำเนาทะเบียนบ้านหรือหลักฐานแสดงการอยู่อาศัยจริง พร้อมภาพถ่ายสำเนาดังกล่าว (3) บัตรประจำตัวประชาชนและบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร พร้อมภาพถ่ายบัตรดังกล่าว (4) สัญญาเช่าอาคารอันเป็นที่ตั้งสถานประกอบการ (กรณีเช่า) หรือหนังสือยินยอมให้ใช้สถานประกอบการ และหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ เช่น เป็นเจ้าบ้าน, สัญญาซื้อขาย, คำขอหมายเลขบ้าน, ใบโอนกรรมสิทธิ์, สัญญาเช่าช่วง พร้อมสำเนาทะเบียนบ้านอันเป็นที่ตั้งสถานประกอบการและภาพถ่ายเอกสารดังกล่าว (5) หนังสือจัดตั้งห้างหุ้นส่วน พร้อมภาพถ่ายหนังสือดังกล่าว (กรณีเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล) (6) หนังสือรับรองของนายทะเบียนห้างหุ้นส่วน บริษัท พร้อมวัตถุประสงค์ หนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับ และใบทะเบียนพาณิชย์พร้อมภาพถ่ายหนังสือดังกล่าว (กรณีเป็นนิติบุคคล) (7) บัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้จัดการ หรือหุ้นส่วนผู้จัดการ และสำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมภาพถ่ายเอกสารดังกล่าว (8) แผนที่ซึ่งแสดงที่ตั้งของสถานประกอบการโดยสังเขป และภาพถ่ายสถานประกอบการจำนวน 2 ชุด (9) กรณีมอบอำนาจให้ผู้อื่นทำการแทน ต้องมีหนังสือมอบอำนาจปิดอากรแสตมป์ 10 บาท บัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจพร้อมภาพถ่ายบัตรดังกล่าว โดยผู้รับมอบอำนาจต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป
1. ผู้ประกอบการต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อเริ่มประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ เว้นแต่กรณีที่ผู้ประกอบการมีแผนงานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าได้เตรียมการเพื่อประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและมีการดำเนินการเพื่อเตรียมประกอบกิจการอันเป็นเหตุให้ต้องมีการซื้อสินค้าหรือรับบริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การก่อสร้างโรงงาน การสร้างอาคารสำนักงานหรือการติดตั้งเครื่องจักร ให้ผู้ประกอบการมีสิทธิยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ภายในกำหนด 6 เดือนก่อนวันเริ่มประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ 2. ผู้ประกอบการที่มีรายรับเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษี-มูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีมูลค่าของฐานภาษี (รายรับ) เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
สถานที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบ ภ.พ.01 ณ สถานที่ดังต่อไปนี้ 1. กรณีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาในเขตท้องที่ที่ สถานประกอบการตั้งอยู่ 2. กรณีสถานประกอบการตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา(อำเภอ) ในเขตท้องที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ และกรณีสถานประกอบการตั้งในท้องที่อำเภอหรือกิ่งอำเภอตั้งใหม่ที่กรมสรรพากรมิได้จัดอัตรากำลังไว้ ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา(อำเภอ) ที่เคยควบคุมพื้นที่เดิมของอำเภอหรือกิ่งอำเภอตั้งใหม่นั้น กรณีสถานประกอบการหลายแห่ง ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนได้ที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ในท้องที่ที่สถานประกอบการอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว 3. กรณีสถานประกอบการที่อยู่ในความดูแลของสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ให้ยื่น ณ สำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ หรือจะยื่นผ่านสำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาที่สถานประกอบการตั้งอยู่ก็ได้
เมื่อเจ้าพนักงานได้รับคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามแบบ ภ.พ.01 พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว จะมีการออกใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบ ภ.พ.20) ให้ ซึ่งจะมีผลให้ผู้ประกอบการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนตามกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ระบุไว้ในใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นต้นไป กรณีที่ผู้ประกอบการมีสถานประกอบการหลายแห่ง ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ท้องที่ที่สถานประกอบการที่เป็นสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เพียงแห่งเดียว แต่กรมสรรพากรจะออกใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 20) ให้แก่สถานประกอบการทุกแห่ง โดยผู้ประกอบการจดทะเบียนจะต้องนำใบทะเบียนดังกล่าวไปแสดงไว้ ณ สถานประกอบการแต่ละแห่งในสถานที่ที่เห็นได้ง่ายและเปิดเผย กรณีที่ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสูญหาย ถูกทำลายหรือชำรุดในสาระสำคัญ ผู้ประกอบการจดทะเบียนจะต้องยื่นคำขอรับใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ สถานที่ที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ทราบถึงการสูญหาย ถูกทำลายหรือชำรุด ซึ่งใบแทนดังกล่าวถือเป็นใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
หน้าที่ของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 1. เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ และออกใบกำกับภาษีเพื่อเป็นหลักฐานในการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 2. จัดทำรายงานตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งได้แก่ (1) รายงานภาษีซื้อ (2) รายงานภาษีขาย (3) รายงานสินค้าและวัตถุดิบ 3. ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีตามแบบ ภ.พ.30
รู้ไว้ใช่ว่ากับภาษี ต้องขอออกตัวก่อนว่าดิฉันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาษี แต่วันนี้ อยากจะนำเกร็ดเกี่ยวกับภาษีที่ได้ประสบมาแบ่งปันกับท่านผู้อ่าน เพราะตอนนี้ย่างเข้าสู่ฤดูกาลยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลต้องใช้เงินจำนวนมากในการอัดฉีด เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจในปี 2552 ติดลบมากเกินไป วิธีการหนึ่งที่รัฐบาลทำ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียกเก็บเงินภาษี และมีผู้ให้ข้อสังเกตว่า รัฐบาลใช้วิธีคืนเงินภาษีช้าๆ เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในระบบของรัฐ เท็จจริงแค่ไหนไม่ทราบ แต่จนป่านนี้ดิฉันเองก็ยังไม่ได้รับคืนภาษีเงินได้ของปี 2551 ที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายเกินไป ผู้คนที่ดิฉันสนทนาด้วยบอกว่า ไม่ได้ว่าอะไรที่กรมสรรพากรจะใช้เวลาตรวจสอบนาน แต่ที่รู้สึกโกรธแค้น คือ ขอเอกสารทีละหน่อย ละหน่อย ทำให้เสียเวลา เวลาขอแจ้งว่าส่งทางโทรสารก็ได้ แต่พอส่งแล้วก็แจ้งมาขอตัวจริงอีก โดยเฉพาะผู้ที่ยื่นเอกสารผ่านอินเทอร์เน็ต ดิฉันรวบรวมข้อควรรู้มาให้ท่านทราบดังนี้ ภาษีเบี้ยประกันชีวิต ได้รับคำถามบ่อยครั้งเกี่ยวกับกรณีบริษัทจำกัดจ่ายเบี้ยประกันให้กรรมการผู้จัดการตามมติที่ประชุมเพื่อเป็นสวัสดิการและการตอบแทน ว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้สอดคล้องกับแนวคำตอบของกรมสรรพากรตามหนังสือเลขที่กค 0811/408 ลงวันที่ 21 มกราคม 2543 ดังนี้ อายุความ การขอคืนภาษีเงินได้ มาตรา 27 ตรี วรรคแรก ได้บัญญัติไว้เป็นหลักว่า “เว้นแต่จะได้มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น กำหนดระยะเวลาในการขอคืนภาษีอากรและภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายและได้มีการนำส่งไว้เป็นจำนวนเงินที่เกินกว่าที่ต้องควรเสีย หรือที่ไม่มีหน้าที่ต้องเสีย ให้ผู้มีสิทธิขอคืนภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนด” ผู้มีสิทธิขอคืน คือผู้มีเงินได้ หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจให้ทำการเป็นตัวแทนในการยื่นคำร้องขอคืนภาษี วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการเสียภาษี หมายถึงวันครบกำหนดยื่นแบบแสดงรายการ เช่น กรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา วันสุดท้ายของการยื่นแบบแสดงรายการคือวันที่ 31 มีนาคมของปีปฏิทินถัดไป หรือกรณีเป็นภาษีเงินได้นิติบุคคลวันสุดท้ายของการยื่นแบบแสดงรายการคือภายใน 150 วันหลังสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีของนิติบุคคลนั้น มิใช่วันสุดท้ายของการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี (กลางปี) ล่วงหน้า ในกรณีมีกฎหมายกำหนดให้มีการยื่นชำระภาษีและแบบแสดงรายการล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้มีสิทธิขอคืนภาษียื่นแบบแสดงรายการเมื่อพ้นเวลาที่กำหนด หรือได้ยื่นแบบแสดงรายการภายในเวลาที่รัฐมนตรีหรืออธิบดีให้ขยายหรือเลื่อนออกไป ตามมาตรา 3 อัฎฐ มาตรา 27 ตรีวรรคสอง กำหนดว่าการยื่นคำร้องขอคืนก็สามารถยื่นได้ภายใน 3 ปี นับแต่วันที่ได้ยื่นรายการตามที่ได้ขยายไปนั้น หรือในกรณีที่ผู้มีสิทธิขอคืนภาษี ทำการยื่นอุทธรณ์การประเมินหรือเป็นคดีในศาล คำร้องขอคืนก็สามารถยื่นได้ภายใน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์เป็นหนังสือ หรือนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วแต่กรณี อนึ่ง ประมวลรัษฎากรยังได้กำหนดเพิ่มเติมไว้เป็นพิเศษในเรื่องการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ถูกหักไว้เกินใน มาตรา 63 เป็นต่างหากด้วยว่า “บุคคลใดถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษีตามส่วนนี้ บุคคลนั้นมีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืนแต่ต้องยื่นคำร้องต่อเจ้าหน้าที่พนักงานประเมินภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งได้ถูกหักภาษีเกินไป” ดังนั้น ความในมาตรา 63 จึงถือเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 27 ตรี ระยะเวลาในการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล จึงย่นระยะเวลามาเป็น 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีภาษี ซึ่งถูกหักภาษีเกินไป ฎ.9911/2539 ได้วินิจฉัยไว้ดังนี้ การขอคืนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร ที่บริษัทถูกหักและนำส่งเกินไป บริษัทต้องยื่นคำร้องขอคืนภายใน 3 ปีนับแต่วันสิ้นปีที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย (ไม่ใช่นับตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี) จะนำมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร มาบังคับไม่ได้ เมื่อรอบระยะเวลาบัญชีของโจทก์ เริ่ม 1 ม.ค. ถึง 31 ธ.ค. ดังนั้นรอบระยะเวลาบัญชี 2531 ซึ่งได้ยื่นคำร้องขอคืนเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2535 ขาดอายุความขอคืนแล้ว (นอกจากนี้ยังมี ฎ. 9912/2539 ฎ. 9913/2539 ฎ. 1810/2540 ฎ. 4688/2540 ก็วินิจฉัยไว้ในลักษณะเดียวกัน) มีข้อน่าสังเกตว่า แม้มาตรา 63 จะเป็นบทบัญญัติที่กำหนดอยู่ในส่วนที่ว่าด้วยภาษีเงินได้ที่เก็บจากบุคคลธรรมดาแต่มาตรา 3 เตรส ซึ่งเป็นมาตราที่ว่าด้วยการหักภาษี ณ ที่จ่ายทุกประเภท กำหนดให้นำความมาตรา 63 มาบังคับใช้โดยอนุโลมด้วย จึงมีผลให้ความในมาตรา 63 ครอบคลุมไปถึงภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายทุกประเภท ทั้งของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล มาตรา 3 เตรส กำหนดไว้ดังนี้ “ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี ให้อธิบดีมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้จ่ายเงินพึงประเมินตามมาตรา 40 ซึ่งไม่มีหน้าที่หัก ณ ที่จ่ายตามลักษณะ 2 ภาษี ณ ที่จ่ายตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราที่กำหนดโดยกฎกระทรวง ในการนี้ ให้นำมาตรา 52 มาตรา 53 มาตรา 54 มาตรา 55 มาตรา 58 มาตรา 59 มาตรา 60 และมาตรา 63 มาใช้บังคับโดยอนุโลม” นอกจากนี้ ศาลฎีกายังได้มีคำพิพากษาตัดสินไว้ใน ฎ.9913/2540 ไว้ด้วยดังนี้ “มาตรา 3 เตรส นั้นใช้บังคับทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล และนำมาตรา 63 มาบังคับแก่การขอคืนเงินไว้แล้ว ดังนั้น จึงนำมาตรา 27 ตรี มาใช้บังคับไม่ได้” ในส่วนของการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่มิได้ขอเครดิตภาษีตามรายเดือนภาษีนั้นมาตรา 84/1 ได้บัญญัติไว้เป็นเอกเทศดังนี้ ส่วนขอคืนภาษีธุรกิจเฉพาะมาตรา 91/11 ได้บัญญัติไว้เป็นเอกเทศเช่นกันโดยให้ยื่นคำร้องภายใน 3 ปีนับแต่วันพ้นกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี
|