จากการวิจัยของ TaxBiz Institute ร่วมกับสถาบันภาษี Tax Research Center เพื่อจัดเรียงลำดับ ‘กลุ่มธุรกิจ’ และ ‘บริษัท’ ที่มียอดการเสียภาษีสูงสุดใน SET ตามงบการเงินประจำปี 2550 ซึ่งเพิ่งปิดบัญชีไปหมาดๆ (ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2551) นั้น

 

บัดนี้ ผลการวิจัยดังกล่าว ซึ่งได้จัดทำเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันมาแล้ว เพื่อค้นหา ‘สุดยอดผู้เสียภาษีแห่งปี 2550’ โดยจะประกาศผลในนิตยสาร TaxBiz Review ฉบับเดือนกรกฎาคม 2551

สำหรับท่านผู้อ่านที่สนใจ ข้อมูลรายละเอียดของการจัดอันดับดังกล่าว กรุณา click ไปที่ www.taxbiz.co.th

1. ตารางการจัดอันดับ ‘กลุ่มธุรกิจ’ และ ‘บริษัท’ ที่เสียภาษีสูงสุดใน SET

ตารางแสดงการเรียงลำดับ ‘กลุ่มธุรกิจ’ และ ‘บริษัท’ ที่มียอดเงินภาษีสูงสุดใน SET

(ยอดตามงบการเงินปี 2550)

ภาษีเงินได้ รายได้ ภาษีเงินได้ รายได้

อันดับ กลุ่มธุรกิจ กำไร ภาษี/รายได้ บริษัท ชื่อย่อ กำไร ภาษี/รายได้

อันดับ กลุ่มธุรกิจ กำไร ภาษี/รายได้ บริษัท ชื่อย่อ กำไร ภาษี/รายได้

1 พลังงานและสาธารณูปโภค 74,078 2,427,082 279,683 3.05% ปตท. PTT 41,419 1,553,051 154,976 2.67%

2 ธนาคาร 25,474 438,993 35,359 5.80% ธนาคารกรุงเทพ BBL 9,219 103,407 28,557 8.92%

3 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 16,832 393,121 47,123 4.28% แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ADVANC 7,562 109,115 23,804 6.93%

4 วัสดุก่อสร้าง 8,365 408,488 49,922 2.05% ปูนซีเมนต์ไทย SCC 5,897 287,946 40,229 2.05%

5 พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 7,157 266,524 24,900 2.69% แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ LH 1064 19,837 4,164 5.36%

6 เงินทุนและหลักทรัพย์ 3,977 76,403 12,753 5.21% ทุนธนชาต TCAP 1,704 29,474 4,873 5.78%

7 พาณิชย์ 3,762 340,478 9,786 1.10% บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ BIGC 1,104 70,900 3,635 1.56%

8 ขนส่งและโลจิสติกส์ 3,712 236,583 19,430 1.57% การบินไทย THAI 2,739 194,161 9,140 1.41%

9 ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 3,104 177,287 29,464 1.75% ปตท.เคมิคอล PTTCH 2,287 77,111 21,858 2.97%

10 อาหารและเครื่องดื่ม 2,487 163,820 9,908 1.52% ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล MINT 493 14,029 2,147 3.51%

11 การแพทย์ 1,566 45,655 6,182 3.43% กรุงเทพดุสิตเวชการ BGH 527 18,885 1,819 2.79%

12 สื่อและสิ่งพิมพ์ 2,224 49,334 3,579 4.51% บีอีซี เวิลด์ BEC 983 7,968 3,292 12.34%

13 ประกันภัยและประกันชีวิต 1,182 44,385 5,388 2.66% ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต SCNYL 352 13,220 1,150 2.66%

14 แฟชั่น 1,214 66,997 6,016 1.81% ไทยเรยอน TR 462 8,449 2,951 5.47%

15 การท่องเที่ยวและสันทนาการ 1,060 32,785 3,398 3.23% แชงกรี-ลา โฮเต็ล SHANG 214 2,183 705 9.80%

16 ยานยนต์ 1,007 62,993 3,767 1.60% ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า STANLY 371 8,256 1,523 4.49%

17 ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 764 195,289 11,965 0.39% มูราโมโต้ อีเล็คตรอน (ประเทศไทย) METCO 269 21,337 903 1.26%

18 วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร 479 157,270 4,248 0.30% จรุงไทยไวร์แอนด์เคเบิ้ล CTW 168 10,104 345 1.66%

19 การเกษตร 314 257,157 3,542 0.12% สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม UPOIC 55 657 207 8.37%

20 บรรจุภัณฑ์ 303 27,208 1,583 1.11% อลูคอน ALUCON 117 3,334 415 3.51%

21 ของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน 290 23,465 1,304 1.24% สยามสตีล อินเตอร์เนชั่นแนล SIAM 72 2,281 292 3.16%

22 ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ 178 9,032 721 1.97% ไทยออฟติคอล กรุ๊ป TOG 54 1,354 189 3.99%

23 กระดาษและวัสดุการพิมพ์ 18 29,560 526 0.06% ยูไนเต็ด เปเปอร์ UTP 14 1,501 15 0.93%

24 บริการเฉพาะกิจ 7 1,254 51 0.56% เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน BWG 6 580 112 1.03%

25 เหมืองแร่ 2 12639.0 780 0.02% ผาแดง อินดัสทรี PDI 2 12,165 933 0.02%

รวม 159,556 5,943,803 571,378 2.68% รวม 77,154 2,571,305 308,234 3.00%

2. วิเคราะห์กลยุทธ์ภาษี & ธุรกิจ ของกลุ่มธุรกิจชั้นนำใน SET

1. กลุ่มพลังงาน

ยังคงเป็นธุรกิจที่มียอดการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงที่สุดใน SET เป็นเงินถึง 74,078 ล้านบาท คิดเป็น 46.43% ของยอดเงินภาษีทั้งสิ้นของ 25 กลุ่มธุรกิจใน SET

เมื่อพิจารณาเรียงลำดับ บริษัทที่เสียภาษีสูงสุด 15 รายแรกใน SET ก็ยังปรากฏว่า บริษัท ปตท. (PTT) และ ปตท. สผ. (PTTEP) ยังครองอันดับ 1 และ 2 ด้วยยอดเงินภาษีสูงถึง 41,419 ล้านบาท และ 22,945 ล้านบาทตามลำดับ โดยมีบริษัท TOP (5,307 ล้านบาท) PTTCH (2,287 ล้านบาท) และ BANPU (1,491 ล้านบาท) ติดอันดับ 8, 12 และ 15 ตามลำดับอีกด้วย

กรณีดังกล่าวชี้ว่า ธุรกิจพลังงานเป็นธุรกิจที่มีความมั่นคงแข็งแรง และเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจของโลกจะเป็นเช่นไร เพราะพลังงานถือเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สูญสิ้นตามการใช้ (scarce resources) ประกอบกับการเก็งกำไรของ hedge fund และประเด็นการเมืองของโลก รวมถึงการผูกขาดราคาโดยกลุ่มโอเปค ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกิน 100 USD เข้าไปแล้ว กรณีจึงเป็นปฏิกิริยาที่เร่งการเกิดของพลังงานทางเลือก / พลังงานทดแทน เช่น ไบโอดีเซล พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานถ่านหิน พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น

2. กลุ่มธนาคาร

เป็นกลุ่มที่มียอดการเสียภาษีสูงเป็นอันดับสองใน SET ด้วยเม็ดเงินภาษีสูงถึง 25,474 ล้านบาท (คิดเป็น 15.97 % ของภาษีรวมใน SET)

ปีนี้ถือเป็นอีกปีที่ดีของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งนับแต่เกิดวิกฤติปี 2540 เป็นต้นมา ผลประกอบการยังไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากมีผลขาดทุนและปัญหาการกันเงินสำรองตามกฎธนาคารแห่งประเทศไทย จากลูกหนี้ NPL จำนวนมาก โดยเพิ่งฟื้นตัวใน 1-2 ปีนี้ สังเกตได้จากราคาหุ้นในกระดาน SET ของกลุ่มธนาคารฯ ขนาดใหญ่ ในปัจจุบันอยู่ที่ 100 บาท (-/+) จากเดิม (ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ) นั้น ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 200 บาท/หุ้น

ปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์ของไทยล้วนถูก take over โดยต่างชาติไปเกือบหมด โดยหันมามุ่งเจาะตลาด SME และทำธุรกิจ retail banking โดยเฉพาะกรณีของ K Bank นั้น รุกตลาด SME อย่างเป็นระบบด้วยงบประมาณการตลาดที่สูง จนได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า กล่าวในมุมการผลักดันให้มีการเปิดเสรีทางการเงินจาก FTA ไทย - อเมริกานั้น ชัดเจนว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะเกิดการแข่งขันที่รุนแรงมากในธุรกิจการเงิน เนื่องจากการรุกคืบของสถาบันการเงินชั้นนำของโลกต่างๆ ซึ่งมีเทคโนโลยีและระบบบริหารจัดการที่ดีกว่าไทยเรามาก ดังนั้น เชื่อว่าจะเกิดปรากฏการณ์ 2 อย่างในอนาคตอันใกล้ คือ ธนาคารพาณิชย์ของไทยจะถูกกลืนหายใต้คลื่นโลกาภิวัตน์ และต้นทุนประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะสูงขึ้น รายได้จะต่ำลง

ในมุมภาษีอากร การเข้า take over ของต่างชาติ จะเป็นในรูป share acquisition เป็นหลัก ซึ่งจะเกิดภาระภาษี 2 กรณี คือ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 10% และ 15% สำหรับเงินปันผลและ capital gains ตามลำดับ

โดยกฎหมายภาษีของบางประเทศ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ได้บัญญัติยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่เงินได้จากการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้การเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับเงินปันผลและ capital gains ดังกล่าวกลายเป็น final tax ไปโดยปริยาย

3. กลุ่มเทคโนโลยีและสื่อสาร

เป็นกลุ่มที่เสียภาษีเงินได้สูงเป็นอันดับ 3 ของ SET (คิดเป็น 10.55% ของยอดเงินภาษีรวมใน SET) ซึ่งเมื่อพิจารณาจาก 15 อันดับบริษัทผู้เสียภาษีสูงสุดใน SET ก็ปรากฏว่า ADVANCE (7,562 ล้านบาท), DTAC (2,845 ล้านบาท) SHIN (2,361 ล้านบาท) และ SATTEL (1,951 ล้านบาท) ติดอันดับ 4, 9, 11, 13 ตามลำดับ เป็นดัชนีชี้ว่าธุรกิจนี้มีอนาคตเติบโตได้ดี เพราะโทรศัพท์มือถือได้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์ (โดยเฉพาะวัยรุ่น) ไปแล้ว ยิ่งนับวันเทคโนโลยีต่างๆ จะผนวกเข้าด้วยกัน คือ มือถือ + คอมพิวเตอร์ + โทรทัศน์ + กล้องถ่ายรูป + internet กรณีก็จะยิ่งสร้างมูลค่าเพิ่ม และแตก product line ออกไปอีกมากมายมหาศาล ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจในผลประกอบการและราคาหุ้นที่ยังโดดเด่น แม้ในสภาวะเศรษฐกิจขาลง

ในอนาคตเชื่อว่าจะเกิดการ Merger & Acquisition ในวงการสื่อสาร + คอมพิวเตอร์ + internet + โทรศัพท์มือถือ ในหลายรูปแบบ โดยอาจเริ่มตั้งแต่การเป็น strategic partner ไปจนถึงการถือหุ้นไขว้เพื่อประสานธุรกิจระหว่างกัน กรณีจึงต้องวางกลยุทธ์ภาษีระหว่างประเทศให้รัดกุมเหมาะสม เพื่อให้ภาระภาษีโดยรวมต่ำที่สุด

4. กลุ่มพาณิชย์

มียอดการเสียภาษีสูงถึง 3,762 ล้านบาท โดยมี Big C เป็นบริษัทที่เสียภาษีสูงสุดในกลุ่มนี้ (1,104 ล้านบาท) ปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกของไทยล้วนเป็น brand จากต่างประเทศ เช่น Big C, 7-11 , Makro, Tesco Lotus เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ มีระบบบริหารจัดการที่ดี และได้เปรียบในเชิงการจัดซื้อสินค้าเป็นล็อตใหญ่ ทำให้ต้นทุนต่ำกว่า อีกทั้งยังได้ credit terms ที่ยาวนานกว่า ในขณะที่มีเงินได้จากการขายปลีกเป็นเงินสดรายวัน จึงส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีก (รากหญ้า) ของไทย ต้องล้มหายตายจาก ไม่สามารถต้านกระแสคลื่นโลกาภิวัตน์ในอนาคต คิดเทียบจากเม็ดเงินภาษีของธุรกิจกลุ่มนี้เพียง 3,762 ล้านบาท แลกกับการล่มสลายของธุรกิจรากหญ้าของไทยแล้ว ไม่ว่าจะมองในมุมไหนก็ไม่คุ้มค่าเลย

เรื่อง : อมรศักดิ์ พงศ์พศุตม์